เรื่อง Ethereum นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากในโลกของสกุลเงินดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในการส่งเงินระหว่างบุคคล หรือการสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เป็นที่นิยมในระดับโลก ในบทความนี้เราจะได้พูดถึงอย่างละเอียด เริ่มต้นจากประวัติไปจนถึงการใช้งานและความน่าสนใจของเทคโนโลยีนี้ในปัจจุบัน
ประวัติของ Ethereum
การก่อตั้ง Ethereum
ประวัติของ Ethereum หรือ ETH ถูกก่อตั้งโดย Vitalik Buterin ในปี 2013 กับวิสัยทัศน์ของการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาโปรแกรมที่สามารถรันโปรแกรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (immutable) โดยมีเหตุผลหลักคือเขาเห็นว่า Bitcoin เป็นเพียงเครื่องมือการเคลื่อนเงินแบบหนึ่งเท่านั้น และมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงทางการเงินในโลกเสมือนอย่างน้อย
การสร้าง Ethereum
ในปี 2014 ETH ได้จัดทำการระดมทุนผ่านทาง ICO (Initial Coin Offering) โดยขายเหรียญ ETH ให้กับนักลงทุน ได้เงินรวมมากถึง 18 ล้านเหรียญ ETH มูลค่าประมาณ 18 ล้านเหรียญหรือประมาณ 16 ล้านเหรียญตามราคาในช่วงนั้น และในเดือนกรกฎาคม 2015 ได้เริ่มเปิดให้ใช้งานแล้ว
การพัฒนาของ Ethereum
ตั้งแต่การเปิดให้ใช้งาน ETH ได้ไปจนถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาและปรับปรุงระบบอยู่เสมอ การอัพเดตใหญ่ๆ ของได้รวมถึงการเปลี่ยน Proof of Work (PoW) เป็น Proof of Stake (PoS) และอื่นๆ ซึ่งทำให้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโครงสร้างเกมที่มีความยืดหยุ่นและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ETH 2.0 คืออะไร ?
ETH 2.0 หรือ Ethereum 2.0 เป็นการอัพเกรดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของเครือข่าย ในรุ่นถัดไป โดย ETH 2.0 จะมีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ คือการย้ายจาก Proof of Work (PoW) ไปเป็น Proof of Stake (PoS) และการใช้งานโครงสร้าง Beacon Chain ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการเครือข่าย
Proof of Stake (PoS)
ใน Proof of Stake (PoS) ผู้มีเหรียญ ETH จะสามารถเดิมพันหรือ”เสนอ”เหรียญของตนเองเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบล็อกและการดำเนินการในเครือข่าย ผู้ที่มีเหรียญมากกว่าจะมีโอกาสสูงขึ้นในการถูกเลือกให้สร้างบล็อก การใช้ Proof of Stake ช่วยลดการใช้พลังงานในการดำเนินการของเครือข่าย
Beacon Chain
Beacon Chain เป็นโครงสร้างพื้นฐานใน ETH 2.0 ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักในการจัดการโหนดในเครือข่าย PoS โดย Beacon Chain จะมีหน้าที่ดูแลการดำเนินงานของโหนดต่างๆ ในเครือข่าย รวมถึงการกำหนดเวลาในการสร้างบล็อก การตรวจสอบการโหวต และการควบคุมการสุ่มผู้ใช้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการสร้างบล็อก
การอัพเกรดเป็น ETH 2.0 จะเป็นกระบวนการแบ่งชั้น (Layer 1) ทำให้การทำงานของระบบเป็นไปอย่างเชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ETH 2.0 ยังมีแพลตฟอร์มใน Layer 2 อีกด้วย เช่น Rollups ที่เป็นเครื่องมือในการลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำธุรกรรม
โครงสร้างของ Ethereum
โครงสร้างพื้นฐาน
ETH มีโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นที่ทราบอย่างกว้างขวาง มีส่วนประกอบหลักๆ ดังนี้
บล็อกเชน (Blockchain): คือโครงสร้างข้อมูลที่ประกอบด้วยบล็อกที่เชื่อมต่อกัน แต่ละบล็อกจะมีข้อมูลที่ถูกเขียนลงบนบล็อกนั้น ๆ พร้อมกับเครื่องหมายทางการคณิตศาสตร์ (hash) ของบล็อกก่อนหน้า การเชื่อมต่อกันของบล็อกเหล่านี้จะสร้างสายส่องข้อมูลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เครือข่าย (Network): ETH เป็นเครือข่ายที่มีโหนดหลายๆ โหนด โดยแต่ละโหนดจะเชื่อมต่อกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยใช้โพรโตคอล
คลังข้อมูล (State): คือสถานะปัจจุบันของโครงสร้างข้อมูล ETH ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีและสัญญาอัจฉริยะ
เอ็กซีคิวเตอร์ (EVM – Ethereum Virtual Machine): เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการดำเนินการของสัญญาอัจฉริยะบน ETH โดยที่แต่ละโหนดในเครือข่าย ETH จะมี EVM ของตัวเอง
การทำงานของ Ethereum
ETH ทำงานตามหลักการ Proof of Stake (PoS) ซึ่งหมายความว่าไม่ใช้การขุดเหมือง (mining) เหมือน Bitcoin แต่ใช้การเดิมพันในการทำงานของเครือข่าย นักเดิมพันที่มีกลมก็จะได้รับสิทธิในการสร้างบล็อกและรับค่าตอบแทน การทำงานสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้
สร้างบล็อก: โหนดในเครือข่ายจะแข่งขันกันในการสร้างบล็อกใหม่ โดยโหนดที่ชนะการแข่งขันนี้จะได้รับสิทธิในการสร้างบล็อกและรับค่าตอบแทน
การยืนยัน: บล็อกที่สร้างขึ้นจะต้องถูกยืนยันโดยโหนดอื่นๆ ในเครือข่ายเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่บันทึกในบล็อกเป็นความจริง
การทำธุรกรรม: มีการทำธุรกรรมหลายประเภท เช่น การโอนเหรียญ, การสร้างสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งจะถูกบันทึกลงในบล็อก
การรับค่าตอบแทน: ผู้สร้างบล็อกที่ชนะการแข่งขันจะได้รับค่าตอบแทนในรูปของ ETH ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าธรรมเนียมที่ชำระสำหรับการทำธุรกรรม
การใช้งาน Ethereum
การโอนเงิน
ETH มีการใช้งานหลักๆ คือการโอนเงินระหว่างบุคคล โดยการโอนเหรียญ ETH จากบัญชีหนึ่งไปยังบัญชีอีกบัญชีหนึ่ง การโอนเงินมีความเร็วและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการโอนเงินผ่านบริการการโอนเงินทางการเงินทั่วไป
การสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts)
สัญญาอัจฉริยะเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำงานตามเงื่อนไขที่ถูกตั้งไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขถูกทำครบ สัญญาอัจฉริยะถูกเขียนด้วยภาษา Solidity ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการเขียนสัญญาอัจฉริยะ
การสร้าง dApps (Decentralized Applications)
dApps คือแอพพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อการทำงาน เหมือนกับแอพพลิเคชันทั่วไป แต่ไม่มีเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ในการจัดการข้อมูล ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
ความน่าสนใจ
มีความยืดหยุ่นสูง
ETH เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้งานสร้าง dApps หลากหลายประเภทได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเงิน, การสื่อสาร, การพัฒนาเกม, และอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเป็นพิเศษ
ความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
การทำธุรกรรมมีความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับระบบการโอนเงินทางธนาคารแบบเดิม
การใช้งานในอุตสาหกรรม
มีการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน, การตลาดทุน, การเกษตร, การสุขภาพ, และอื่นๆ โดยมีการพัฒนา dApps ที่สามารถแก้ไขปัญหาในแต่ละอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทสรุป
การพัฒนาของ Ethereum เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสำคัญในโลกของสกุลเงินดิจิทัล โดยมีการก่อตั้งขึ้นโดย Vitalik Buterin ในปี 2013 ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับการพัฒนาโปรแกรมที่สามารถรันโปรแกรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การระดมทุนผ่าน ICO ในปี 2014 ช่วยเป็นการสนับสนุนให้สามารถเริ่มต้นการทำงานได้ในปี 2015 มีโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและทราบทั่วไป เช่น บล็อกเชน, เครือข่าย, คลังข้อมูล, และเอ็กซีคิวเตอร์ (EVM) โดยมีการทำงานที่มีขั้นตอนหลักๆ เช่น การสร้างบล็อก, การยืนยัน, การทำธุรกรรม, และการรับค่าตอบแทน การใช้งานสามารถแบ่งเป็นการโอนเงิน, การสร้างสัญญาอัจฉริยะ, และการสร้าง dApps (Decentralized Applications) ความน่าสนใจอยู่ที่ความยืดหยุ่นสูงในการใช้งาน, ความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำในการทำธุรกรรม, การใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ, และการสร้าง dApps ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลอันดับต้นๆ ของโลกในปัจจุบันและอนาคต
อ้างอิง
https://th.investing.com/crypto/ethereum
Ethereum สกุลเงินดิจิทัลอันดับต้นๆ ของโลก