ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์คืออะไร? อธิบายพร้อมยกตัวอย่างง่ายๆ 

ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์

การวางกลยุทธ์ในธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จและเสี่ยงของธุรกิจเอง แม้ว่าการวางกลยุทธ์อาจช่วยให้ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จได้ แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่เสมอ ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การทำกลยุทธ์ที่ผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนในกลยุทธ์ที่ถูกต้องและมีเสี่ยงเช่นกัน ในบทความนี้ เราจะสำรวจและอธิบายถึงความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ในองค์กร รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์คืออะไร?

ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเมื่อกลยุทธ์หรือแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ไม่สามารถทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในสภาพแวดล้อมภายนอกหรือภายในองค์กรทำให้กลยุทธ์ที่วางไว้ต้องปรับปรุงหรือถูกทิ้งทั้งหมด การเป็นผู้นำหรือผู้บริหารในองค์กรจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพราะสภาวะทางธุรกิจและตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การเข้าใจและการจัดการความเสี่ยงด้านกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำต้องให้ความสำคัญ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านกลยุทธ์

  1. การเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์ภายนอก: การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมธุรกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงในการแข่งขัน หรือการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของลูกค้า อาจส่งผลให้กลยุทธ์เดิมไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

  2. ความเป็นไปได้: บางครั้งกลยุทธ์อาจมีความเสี่ยงเพราะว่ามันอาจไม่สามารถทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม การรับความเสี่ยงอาจจำเป็นต้องทำในบางกรณีเพื่อเป้าหมายทางกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ

  3. ความไม่แน่นอน: มีความไม่แน่นอนในการทำนายสภาพธุรกิจในอนาคต เช่น การทำนายทางการเงิน การทำนายการเปลี่ยนแปลงในตลาด เป็นต้น ความไม่แน่นอนนี้อาจทำให้กลยุทธ์ที่วางไว้มีความเสี่ยงมากขึ้น

  4. ข้อผิดพลาดในการวางกลยุทธ์: การวางกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมหรือการทำข้อผิดพลาดในการประเมินสภาพการแข่งขัน การประเมินความเสี่ยง หรือการประเมินความสามารถในการดำเนินธุรกิจ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการสำเร็จของกลยุทธ์

การจัดการความเสี่ยงด้านกลยุทธ์

การจัดการความเสี่ยงด้านกลยุทธ์

การจัดการความเสี่ยงด้านกลยุทธ์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความรอบรู้และความเข้าใจในธุรกิจ ซึ่งสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:

  1. การวิเคราะห์ความเสี่ยง: การวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ โดยการวิเคราะห์จะช่วยให้เห็นภาพรวมของความเสี่ยงและการรับมือกับมัน

  2. การกำหนดกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง: การกำหนดกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงเป็นขั้นตอนที่เน้นไปที่การวางแผนการจัดการความเสี่ยงในองค์กร โดยการระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์แต่ละอย่าง

  3. การดำเนินการ: หลังจากกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงถูกกำหนดแล้ว องค์กรจะต้องดำเนินการตามกลยุทธ์นั้นโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ

  4. การตรวจสอบและปรับปรุง: การตรวจสอบและปรับปรุงกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญ เพื่อให้ตรงกับสภาพแวดล้อมธุรกิจและสภาพการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ตัวอย่างการเสี่ยงด้านกลยุทธ์ในธุรกิจ

1. ธุรกิจอาหารเร็ว

ในธุรกิจอาหารเร็ว เช่น ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด การเปลี่ยนแปลงในความต้องการของลูกค้าอาจส่งผลต่อกลยุทธ์การขายของธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการเพิ่มความสำคัญในสุขภาพและอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการใหม่อาจพบว่ากำไรลดลง

2. บริษัทเทคโนโลยี

ในบริษัทเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีอาจมีผลต่อกลยุทธ์สินค้าและบริการ ถ้าบริษัทไม่สามารถปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า อาจพบว่าต้องเผชิญกับการแพ้ทางในตลาด

3. ธุรกิจการเงิน

ในธุรกิจการเงิน การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายและการบริการอาจมีผลต่อกลยุทธ์การลงทุนและการบริการ ถ้าธุรกิจไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายใหม่หรือต้องการส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของลูกค้า อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการสูญเสียลูกค้า

ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์มีความสำคัญแค่ไหน?

ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์มีความสำคัญแค่ไหน?

ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์มีความสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการธุรกิจและองค์กร เพราะมีผลต่อความสำเร็จและความเสี่ยงของธุรกิจเอง ดังนี้คือบางข้อสำคัญที่ทำให้เห็นถึงความสำคัญของความเสี่ยงด้านกลยุทธ์:

  1. การเพิ่มโอกาสและลดความเสี่ยง: กลยุทธ์ที่ดีสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของธุรกิจได้ โดยเชื่อมโยงกับโอกาสในตลาด ทั้งนี้ก็มีความสำคัญในการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเตรียมความพร้อมเผื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงในสภาพการแข่งขัน

  2. การเพิ่มความยืดหยุ่น: การมีกลยุทธ์ที่หลากหลายและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพการตลาดและสภาพแวดล้อม เป็นปัจจัยที่สำคัญในการทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง อาจช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเป็นเจ้าของส่วนต่างๆ ของตลาดได้

  3. การเพิ่มความเชื่อมั่น: การวางกลยุทธ์ที่ดีช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับทีมงาน และสร้างความเชื่อมั่นในตลาด ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มความเชื่อมั่นในธุรกิจ

  4. การเตรียมความพร้อมในการจัดการวิกฤต: การวางกลยุทธ์ที่ดีช่วยให้ธุรกิจมีความพร้อมในการจัดการวิกฤต โดยการทำการสำรองและการวางแผนที่เป็นเส้นทางสำหรับการปรับตัวในกรณีที่เกิดปัญหาหรือวิกฤติ

  5. การคาดการณ์และการวางแผน: การวางกลยุทธ์ที่ดีช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์และวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการทำให้ธุรกิจมีการเติบโตและประสบความสำเร็จในระยะยาว

ดังนั้น ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์มีความสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการธุรกิจ และการเข้าใจและการจัดการความเสี่ยงด้านนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำและผู้บริหารควรให้ความสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการองค์กรของตน

ผู้เขียน

  • ศุภวุฒิ ผุดวี

    ศุภวุฒิ ผุดวี คือ Content Creator ประจำ business-guru หลงใหลในการตลาดดิจิทัล ชอบวิเคราะห์หุ้นและคริปโตเคอเรนซี่ จบ University of California, Berkeley ในสาขา Digital Business and Financial Technology หลังเรียนจบได้ทำงานเป็น Content Creator ให้กับแบรนด์ต่างๆ ก่อนจะมาร่วมก่อตั้งเว็บ business-guru ขึ้นมา เพื่อสร้างคอนเทนต์ให้ความรู้ด้านการตลาดดิจิทัล การลงทุน และเทรนด์ธุรกิจใหม่ๆ ว่างๆ ชอบเที่ยวคนเดียว และมีความฝันอยากเดินทางรอบโลก